(PREVENTIVE MAINTENANCE)
MAIN DISTRIBUTION BOARD
Main Distribution (MDB)and Distribution (DB)
การบำรุงรักษาตู้เมนสวิตช์ (MDB) และ ตู้ย่อยไฟฟ้า (DB) คือการทำความสะอาด การตรวจสอบบริเวณรอบๆตู้ ภายในตู้ และทดสอบ Function ของอุปกรณ์ภายในตู้ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ
การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอดูเหมือนเป็นค่าใช้จ่ายสิ้นเปลือง แต่เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด เพราะจะทำให้ระบบต่าง ๆ ได้รับการตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอก่อนที่จะชำรุด หรือเสื่อมสภาพ การรู้ก่อนและการแก้ไขก่อน โดยการบำรุงรักษาก่อนที่จะสึกหรอ นอกจากจะยืดอายุการใช้งานได้อย่างมหาศาลแล้ว ยังทำให้ลดความเสี่ยงจากการหยุดสายพานการผลิตได้
ดังนั้น การบำรุงรักษาตู้เมนสวิตช์และตู้ย่อยไฟฟ้า จึงมีความสำคัญ จำเป็นต้องบำรุงรักษาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ อัคคีภัย ที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าลัดวงจรอีกด้วย
ทำไม? ต้องมีการบำรุงรักษาตู้เมนสวิตช์ (MDB)และตู้ย่อยไฟฟ้า (DB)
1. เป็นการตรวจสอบอุปกรณ์ที่อยู่ภายในตู้ ให้สามารถพร้อมทำงานได้ตลอดเวลาและเป็นปกติ
2. ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ และยังช่วยให้อุปกรณ์ที่อยู่ภายในตู้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. ลดความเสี่ยงในการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร
4. ระบบไฟฟ้ามีความเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น
5. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำ
หากขาดการการบำรุงรักษา
ถ้าไม่มีการบำรุงรักษาตู้ จะทำให้เกิดความสกปรกและจะส่งผลต่ออุปกรณ์ภายในตู้ เนื่องจากฝุ่นละอองปริมาณมากรวมตัวกับความชื้นที่เกิดขึ้นก็จะมีคุณสมบัติเป็นแผ่นฟิลม์บางๆ ทำให้กลายเป็นตัวนำไฟฟ้าซึ่งนำกระแสไฟฟ้าได้จะส่งทำให้อุปกรณ์ภายในตู้ทำงานผิดปกติซึ่งจะส่งผลดังนี้
1. ระบบไฟฟ้าไม่เสถียร
2. อุปกรณ์ภายในตู้ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
3. เสี่ยงต่อการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรและ อาจทำให้ระบบ การผลิตหยุดการผลิต
4. ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงแก้ไขสูง
Capacitor
Capacitor คือ เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ทำหน้าที่ปรับค่า P.F. (Power Factor) คาปาซิเตอร์จะเป็นตัวจ่ายกระแสไฟฟ้า Reactive Power (กำลังไฟฟ้าสูญเสีย เสมือน) เพื่อชดเชยกับกระแสไฟฟ้าของวงจรในวงจรไฟฟ้าที่มีค่า P.F. (Power Factor) ต่ำจะมีผลเสียต่อระบบไฟฟ้าอย่างมากที่เห็นได้ชัดเจนคือในรูปของค่าสูญเสียต่างๆ และอาจต้องเสียค่าปรับให้การไฟฟ้าเนื่องจากมีค่า P.F. (Power Factor) ต่ำกว่า0.85 ตามการไฟฟ้ากำหนด
ถ้ามี Capacitor ในระบบไฟฟ้า?
1.ลดค่ากำลังไฟฟ้าสูญเสีย เช่น ค่าสูญเสียในสายไฟฟ้า ค่าสูญเสียในขดลวดของหม้อแปลงไฟฟ้า
2.ลดค่าแรงดันตก เช่น ลดค่าแรงดันตกในสายไฟฟ้า ลดค่าแรงดันตกในขดลวดของหม้อแปลงไฟฟ้า
3.เพิ่มความสามารถในการรับโหลดของหม้อแปลงไฟฟ้าและสายไฟฟ้าทำให้หม้อแปลงไฟฟ้าและสายไฟฟ้ารับโหลดได้มากขึ้น
4.ลดค่าไฟฟ้ารายเดือน
ทำไม? ต้องมีการเปลี่ยน Capacitor เมื่อเสื่อมประสิทธิภาพ
คือ ค่า P.F. (Power Factor) ซึ่งมีผลต่อการนำมาคิดค่าไฟฟ้า ซึ่งถ้ามีค่า P.F. (Power Factor) ต่ำกว่า 0.85 ตามการไฟฟ้ากำหนด ก็จะมีการเสียค่าปรับค่าไฟฟ้าอีกด้วย ในส่วนทางด้านอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เป็นขดลวด จะมีปัญหาเพราะ กระแสฮาร์มอนิก มีผลกระทบ อาจจะทำให้กำลังงานสูญเสียของหม้อแปลงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นทั้งจาก ลวดตัวนำและแกนแม่เหล็ก และยังทำให้ มิเตอร์วัดค่าไฟฟ้า (Watt-Hour Meter) ทำการวัดค่าผิดพลาดอีกด้วย
Power Factor Controller
คือ อุปกรณ์ที่สั่งควบคุมการทำงานของ Capacitor โดยการสั่งให้มีการ ปลด-สับ Capacitor เข้าออกวงจร เพื่อที่จะรักษาค่า P.F. (Power Factor) ของระบบให้มีค่าตามที่เราได้ตั้งค่าไว้การติดตั้งวิธีนี้จะได้ประโยชน์จากการลดกำลังไฟฟ้าที่สูญเสียในสายไฟฟ้าอีกด้วย
ถ้ามี Power Factor Controller?
คือ สามารถตั้งค่า Power Factor ตามที่ต้องการได้ โดยเครื่อง Power Factor Controller จะทำงานสั่งให้มีการปลด-สับ Capacitor เข้าออกวงจร
ถ้าไม่มี Power Factor Controller?
คือ Power Factor Controller เสียก็จะไม่มีอุปกรณ์ ไปสั่งให้ คาปาซิเตอร์ทำงาน
Magnetic Contactor
เป็นอุปกรณ์ที่อาศัยการทำงานโดยอำนาจแม่เหล็กในการเปิด – ปิดหน้าสัมผัสในการควบคุมวงจรหรือเรียกว่าสวิตช์แม่เหล็ก (Magnetic Switch) หรือคอนแทคเตอร์ (Contactor) ก็ได้
การพิจารณาเลือกไปใช้งาน
ในการเลือกแมคเนติกคอนแทคเตอร์ในการนำไปใช้งานให้เหมาะสมกับมอเตอร์นั้น จะพิจารณาที่กระแสสูงสุดในการใช้งาน และแรงดันของมอเตอร์ ดังนั้นต้องเลือกแมคเนติกคอนแทคเตอร์ที่มีกระแสสูงกว่ากระแสที่ใช้งานของมอเตอร์ ที่มีแรงดันเท่ากัน ในการพิจรณาเลือกแมคเนติกคอนแทคเตอร์ใช้งานควรพิจารณาดังนี้
– ลักษณะของโหลดและการใช้งาน
– แรงดันไฟฟ้าและความถี่
– สถานที่ใช้งาน
– ความบ่อยครั้งในการใช้งาน
– การป้องกันจากการสัมผัสและการป้องกันนํ้า
– ความคงทนทางกลและทางไฟฟ้า
ข้อดีของการใช้แมคเนติกส์คอนแทคเตอร์ เมื่อเทียบกับสวิตช์อื่นๆ
– ให้ความปลอดภัยสำหรับผู้ควบคุม
– ให้ความสะดวกในการควบคุม
– ประหยัดเมื่อเทียบกับการควบคุมด้วยมือ
เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker)
เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) คือ อุปกรณ์ที่ทำงานเปิดและปิดวงจรไฟฟ้าแบบไม่อัตโนมัติ แต่สามารถเปิดวงจรได้อัตโนมัติ ถ้ามีกระแสไหลผ่านเกินกว่าค่าที่กำหนด โดยป้องกันไม่ให้อุปกรณ์ที่ต่อกับเซอร์กิตเบรกเกอร์นั้นเกิดความเสียหายขึ้นจากกระแสที่เกินกำหนด แบ่งออกหลายชนิดได้แก่ คือ
1. Mold Case Circuit Breaker
2. Air Circuit Breaker
3. Miniature Circuit Breaker
Mold Case Circuit Breaker
ทนแรงดันไฟฟ้าที่ใช้งานได้ เบรกเกอร์แบบนี้ มีหน้าที่หลัก 2 ประการ คือ ทำหน้าที่เป็นสวิตซ์เปิด-ปิดด้วยมือ และเปิดวงจรโดยอัตโนมัติ เมื่อมีกระแสไหลเกิน หรือเกิดการลัดวงจร โดย เบรกเกอร์จะอยู่ในภาวะตัดการทำงานจากกระแสเกิน(Trip) ซึ่งอยู่กึ่งกลาง ระหว่าง ตำแหน่งเปิดและปิด(ON/OFF) เราสามารถรีเซ็ทใหม่ได้โดย กดคันโยกให้อยู่ ในตำแหน่ง ปิดเสียก่อน แล้วค่อยโยกไปตำแหน่งเปิด
Air Circuit Breaker
เป็นเบรคเกอร์ที่ใช้กับแรงดันที่ต่ำกว่า 1000 โวลต์ มีขนาดใหญ่ใช้สำหรับเป็น เมนเบรกเกอร์ โดยทั่วไปมีพิกัดกระแสตั้งแต่ 225-6300 แอมป์ และมี อินเตอร์รัปติง คาปาซิตี (Interrupting Capacity) สูงตั้งแต่ 35-150 กิโลแอมป์ โครงสร้างทั่วไปทำด้วยเหล็กมีช่องดับอาร์ก (Arcing Chamber) ที่ใหญ่โตแข็งแรง เพื่อให้สามารถรับกระแสลัดวงจรจำนวนมากได้ แอร์เซอร์กิตเบรกเกอร์ที่มีขายในท้องตลาด มักใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ตรวจจับ และวิเคราะห์กระแสเพื่อสั่งปลดวงจร
Interrupting Capacity คือ ความสามารถในการตัดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรของ อุปกรณ์ป้องกันได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ทำให้อุปกรณ์ ป้องกันนั้นเสียหายหรือไหม้ลุกลาม โดยทั่วไปแล้ว Interrupting Capacity จะมี หน่วยเป็น kA หรือ กิโลแอมแปร์ ซึ่งเป็นหน่วยของ 1,000 แอมแปร์
Test Air Circuit Breaker
เป็นการทดสอบกลไกการทำงานของ Air Circuit Breaker เช่น ทดสอบการ ON-OFF และทดสอบชุด Trip Unit ทดสอบ Protection Unit
ทำไม? ต้องมีการทดสอบ Air Circuit Breaker
- เพื่อให้ Air Circuit Breaker อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานอยู่เสมอ
- เพื่อให้ Air Circuit Breaker ทำงานถูกต้องตามสภาวะการจ่ายโหลด
- เพื่อยืดอายุการใช้งานของ Air Circuit Breaker
- เพื่อลดค่าใช่จ่ายที่เกิดจากการต้องซ่อมบำรุงรักษา Air Circuit Breaker ในสภาวะฉุกเฉิน
Miniature Circuit Breaker
เป็นเบรคเกอร์ขนาดเล็ก ใช้ติดตั้งเป็นอุปกรณ์ป้องกันร่วมกับแผงจ่ายไฟฟ้าย่อย (Load Center) หรือ แผงจ่ายไฟฟ้าประจำห้องพักอาศัย (Consumer Unit) เบรคเกอร์ชนิดนี้ไม่สามารถปรับตั้งค่ากระแสตัดวงจรได้ มีทั้งแบบ 1 ขั้ว, 2 ขั้ว และ 3 ขั้ว อาศัยกลไกการปลดวงจรทั้งแบบ เทอร์มัล และ แมกเนติก มีรูปร่างทั่วไปดังรูป
ถังดับเพลิง
ถังดับเพลิง คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการดับเพลิงเบื้องต้น หรือ เมื่อมีผู้พบเห็นเพลิงไหม้จะสามารถใช้เครื่องดับเพลิงได้โดยทันที เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายกับอุปกรณ์หรือทรัพย์สินภายในพื้นนั่นๆ ดังนั้นเราควรเลือกชนิดถังดับเพลิงให้ถูกกับสถานที่
ประเภทของถังดับเพลิง
- เพลิงประเภท A คือ เพลิงที่เกิดจากเชื้อเพลิงธรรมดา เช่น ไม้ ผ้า กระดาษ พลาสติก ยางเป็นต้น
- เพลิงประเภท B คือ เพลิงที่เกิดจากก๊าซของเหลวติดไฟ ไข และน้ำมันต่างๆ
- เพลิงประเภท C คือ เพลิงที่เกิดกับอุปกรณ์ไฟฟ้า หรือวัตถุที่มีกระแสไฟฟ้า
- เพลิงประเภท D คือ เพลิงที่เกิดจากสารเคมีที่ติดไฟได้
ถ้ามีถังดับเพลิงอยู่ใกล้ตู้ MDB
เมื่อเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้สามารถนำมาใช้ได้โดยทันที และยังช่วยป้องกันไฟไม่ให้ลุกลามไปในพื้นที่อื่นๆ
ถ้าไม่มีถังดับเพลิงอยู่ใกล้ตู้ MDB
เมื่อเกิดเหตุการ์ณไฟไหม้จะทำให้ไฟลุกลามไปยังพื้นที่อื่นๆ ทำให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมากและสูญเสียทรัพย์สินที่ประเมินค่าไม่ได้
พัดลมระบายอากาศ
โดยปกติแล้ว ความร้อนภายในตู้คอนโทรลนั้นมีสาเหตุมาจากการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ภายในตู้ซึ่งความร้อนในส่วนนี้ถ้าไม่ได้รับการระบายออก อุณหภูมิภายในตู้คอนโทรลจะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และเมื่ออุณหภูมิภายในตู้คอนโทรลสูงมากกว่าอุณหภูมิภายนอก โดยธรรมชาติความร้อนภายในตู้คอนโทรลก็จะถ่ายเทพลังงานความร้อนส่วนหนึ่งออกสู่ภายนอก ผ่านผนังตู้คอนโทรล หากมีอุณหภูมิสูงเกินไป จะทำให้อายุการใช้งานของอุปกรณ์ภายในตู้สั้นลง เช่น แมคเนติก รีเลย์ ชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์
ถ้ามีพัดลมระบายความร้อน
ช่วยระบายความร้อนภายในตู้ไฟฟ้าหรือตู้ควบคุมให้อุณหภูมิลดลง
ถ้าไม่มีพัดลมระบายความร้อน
ถ้าภายในตู้เกิดมีอุณหภูมิความร้อนสูงจะส่งผลทำให้อุปกรณ์ภายในตู้เกิดความร้อนมากยิ่งขึ้นอาจจะทำให้อุปกรณ์เกิดความเสียหายได้เช่นกัน
Phase Protection Relay
คือ อุปกรณ์ป้องกันปัญหาทางด้านแรงดันไฟฟ้าในเฟส ไฟตกไฟเกิน แบบฉับพลัน ด้วยความสามารถในการป้องกันทางด้านแรงดันได้อย่างมีประสิทธิภาพเที่ยงตรง จึงสามารถป้องกันอุปกรณ์ก่อนจะได้รับความเสียหายจากปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
ถ้ามี Phase Protection Relay ในระบบ
สามารถช่วยป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้าเมื่อมีแรงดันไฟฟ้าตก ไฟเกิน หรือแรงดันไฟฟ้ามาไม่ครบ 3 เฟส
ถ้าไม่มี Phase Protection Relay ในระบบ
ถ้าไม่ได้ติดตั้ง Phase Protection Relay จะทำให้อุปกรณ์เสียหาย เช่น มอเตอร์ 3เฟส เกิดความเสียหาย เนื่องจากเมื่อมีแรงดันมาไม่ครบเฟสจะส่งผลทำให้ไลน์การผลิตหยุดทันที